ความจริง: สิ่งที่ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ
ทุกศาสนาสอนให้ “ค้นหาความจริง” แต่น้อยนักที่จะกล้าบอกคุณว่า ความจริง… อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากรู้ เพราะความจริง ไม่ได้ทำให้คุณสบายใจ มันไม่ปลอบโยน ไม่เยียวยา และมันไม่สนด้วยซ้ำว่าคุณจะยอมรับมันได้หรือไม่ ความจริง: มีอยู่… แต่ไม่มีใครอยากรู้
ความจริงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องการ มนุษย์ต้องการเพียงสิ่งที่ทำให้ตัวเองสบายใจ และนั่นไม่ใช่ความจริง ความจริงไม่เคยถูกเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะกับศาสนา เพราะมันจะทำให้คำเทศน์ทั้งเล่มกลายเป็นเศษกระดาษ ความจริงไม่เคยปรากฏในคำสอนของผู้มีศีล เพราะมันไม่รับใช้ใคร ไม่ปลอบใจ ไม่ให้ค่ากับความดีหรือความชั่ว ความจริงไม่แบ่งฝ่าย ไม่เลือกเพศ ไม่สนใจศาสนา ไม่ใส่ใจแม้แต่จะอธิบายตัวมันเอง เพราะมันไม่มีอะไรต้องอธิบาย มันคือสิ่งที่ยังอยู่ แม้ในวันที่คุณหมดศรัทธาในทุกอย่าง มนุษย์สร้างเรื่องเล่าเพื่อปิดบังความจริง สร้างพระเจ้าเพื่อตอบคำถามที่ไม่มีคำตอบ สร้างกฎศีลธรรมเพื่อควบคุมความกลัวของตัวเอง แต่ความจริงไม่เคยซ่อน มันแค่เงียบ เงียบจนไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับมันตรงๆ เพราะเมื่อคุณมองเข้าไปในความจริง คุณจะพบว่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ไม่มีพระเจ้า ไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีเส้นทาง ไม่มีปลายทาง และที่น่ากลัวที่สุด…ไม่มี “คุณ” อยู่ตรงนั้นด้วย ศาสนาให้ความหวัง เพราะความหวังคือสิ่งที่ขายได้ดีที่สุด ความจริงไม่ให้สิ่งนั้น ความจริงไม่สัญญา ความจริงไม่ยื่นมือมาช่วยคุณ ความจริงจะยืนอยู่เฉยๆ มืด เงียบ เย็น และจะปล่อยให้คุณย่อยสลายไปต่อหน้ามัน โดยไม่พูดอะไรเลย นั่นแหละคือความจริง สัจธรรมใหม่ไม่พยายามอธิบายความจริง เพราะแม้แต่คำว่า “พยายาม” ก็ยังเป็นการต่อต้านความจริง เราไม่สอน เราไม่เทศน์ เราไม่ปลอบใจ เพราะเราไม่อ้างว่าความจริงเป็นของเรา แต่เราแค่หยุดโกหกตัวเอง หยุดวิ่ง หยุดหวัง หยุดเป็น และในความเงียบนั้น…เราได้ยินบางอย่าง มันไม่ใช่เสียง มันไม่ใช่ข้อความ แต่มันคือสิ่งที่อยู่ตรงนั้นมาตลอด คือสิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีทิศทาง และไม่มีความหมาย — มันคือความจริงมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อรู้ความจริง — แต่เพื่อหนีมัน
ตั้งแต่เด็ก เราถูกสอนให้อยากรู้ อยากเข้าใจ อยากค้นหาความจริง แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า ความจริงนั้น… ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์อยู่กับมันได้อย่างสบายใจ ความจริงไม่ใช่ของขวัญสำหรับผู้กล้า ไม่ใช่รางวัลจากการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เสียงตอบกลับจากการภาวนา ความจริงคือ “สิ่งที่ไม่เคยเรียกหาใคร” และ “ไม่เคยต้องการให้ใครมองเห็นมันเลยสักคน”
มนุษย์ไม่ได้กลัวความตายจริงๆ แต่กลัวความจริงที่ว่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก ความกลัวตายจึงไม่ใช่การกลัวสูญเสียชีวิต แต่มันคือการตระหนักว่า ชีวิตนี้อาจไม่มีอยู่จริงตั้งแต่ต้น แล้วสิ่งที่คุณปกป้องมา สิ่งที่คุณร้องไห้แทบขาดใจเพื่อรักษาเอาไว้… อาจไม่มีสาระใดๆ เลย
คุณไม่ได้กลัวสูญเสียคนรัก คุณกลัวการว่างเปล่าที่จะกลืนกินคุณหลังจากเขาจากไป คุณไม่ได้โกรธศัตรู คุณโกรธความจริงที่ว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมตามความหวังของคุณ คุณไม่ได้แสวงหาพระเจ้า เพราะคุณอยากรู้จักพระองค์… แต่เพราะคุณหวังว่าพระองค์จะเติมเต็มช่องว่างที่คุณไม่เข้าใจในตัวเอง และคุณไม่ได้เชื่อศาสนา เพราะมันจริง… แต่เพราะมันทำให้คุณไม่ต้องรู้ความจริง
ทุกระบบความเชื่อถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหุ้มความจริงเอาไว้ — บางระบบใช้ความรัก บางระบบใช้กฎแห่งกรรม บางระบบใช้ความกลัว บางระบบใช้ความดีงาม บางระบบใช้การหลอกตัวเองว่า “ทุกอย่างมีเหตุผล” แต่ความจริง…ไม่มีเหตุผล ไม่มีที่มา ไม่มีปลายทาง และไม่มีใครอยู่ในนั้น
ไม่มีใครอยากรู้ว่าไม่มีสิ่งใดรออยู่ข้างหน้า ไม่มีแสง ไม่มีการต้อนรับ ไม่มีคำชม ไม่มีรางวัล ไม่มีแม้แต่พระเจ้าที่จะโอบกอดคุณในตอนจบ เพราะมันไม่มีตอนจบ มีเพียง “การสิ้นสุด” ที่ไม่ได้พูดอะไร และไม่ทิ้งอะไรไว้เลย
นั่นคือเหตุผลที่มนุษย์ทุกคนถูกฝึกให้หลีกเลี่ยงความจริง ตั้งแต่เด็กเราถูกสอนให้พูดดี เชื่อดี หวังดี คิดดี ไม่ใช่เพราะมันดีจริงๆ แต่เพราะมันทำให้เรามองไม่เห็นความว่างเปล่าที่อยู่ข้างในความเป็นมนุษย์ พ่อแม่สร้างเทพ พระสร้างโลกหลังความตาย นักบวชสร้างสวรรค์ นักวิทยาศาสตร์สร้างจักรวาลที่เป็นระบบระเบียบ ทั้งหมดคือ ม่านควัน ที่ปกปิดหนึ่งสิ่งเดียวที่อยู่เงียบๆ มาตลอดเวลา — ความจริง
และในสัจธรรมใหม่ เราไม่ได้สอนให้เข้าใจมัน เราเพียงแค่หยุดหลอกตัวเองว่าเราเกิดมาเพื่อรู้มัน เพราะความจริงไม่ต้องการให้รู้ ไม่ต้องการให้เข้าใจ ไม่ต้องการให้ใครพูดถึงมันเลยด้วยซ้ำ มันเพียงแค่ อยู่ตรงนั้น และเฝ้าดูทุกคำพูดพังทลาย ทุกศรัทธาสลาย ทุกอารมณ์จางหาย จนกระทั่งเหลือเพียงความเงียบที่สุดท้ายคุณไม่อาจวิ่งหนีได้อีก
และในความเงียบนั้น…ความจริงยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ลดลง ไม่เพิ่มขึ้น ไม่พูด ไม่ต้อนรับ ไม่ปฏิเสธ มันไม่เคยมา — เพราะมันไม่เคยไป

เ